หนึ่งในแก่นสำคัญของปรัชญาสโตอิกคือ
การสอนให้ผู้คนตระหนักถึงพลังของคำพูด
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไม? คำพูดของเราอาจสร้างความเสียหายได้ ถ้าเราใช้มันไม่ถูกวิธี จึงทำให้เหล่านักปรัชญาชาวสโตอิกอย่าง Zeno, Marcus Aurelius, Seneca และ Epictetus ได้ย้ำถึงความสำคัญของคำพูดที่ต้องไตร่ตรองก่อนกล่าวสิ่งใดออกไป
ดังนั้น เพื่อให้เราได้เรียนรู้วิธีการพูดอย่างถูกวิธี บทความนี้ทางเราจึงมี 5 วิธีการพูดจากหลักปรัชญาสโตอิก มาฝาก ดังนี้
1.”จงเงียบ และ ฟังอย่างตั้งใจ”
“คนเรามีสองหูและหนึ่งปาก
ดังนั้นเราควรฟังให้มากกว่าพูดสองเท่า” —Zeno
หากวันนี้ เพื่อนสนิทได้มาหาคุณเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับปัญหาชีวิต พวกเขาอธิบายปัญหาให้คุณฟังว่า พวกเขารู้สึกผิดหวังกับมันมากแค่ไหน แต่ทันทีที่คุณฟัง คุณก็เริ่มวิเคราะห์ปัญหา และแนะนำไปว่าควรไปทำสิ่งนั้น หรือสิ่งนู้น
ซึ่งหากคุณกำลังทำอย่างนี้อยู่ แสดงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณไม่ได้ตระหนักเลยว่า
“แท้จริงแล้ว พวกเขาอาจไม่อยากได้คำแนะนำจากคุณ
แต่แค่ต้องการให้เรารับฟัง เท่านั้นเอง”
ในปี 2014, วารสารตีพิมพ์ International Journal of Listening พบว่า องค์ประกอบที่สำคัญที่สุด “สำหรับความพึงพอใจในการสนทนา” คือ การฟังอย่างกระตือรือร้น โดยมีองค์ประกอบสำคัญอยู่ 3 ประการ ได้แก่
ประการที่ 1: การแสดงความสนใจในข้อความของผู้พูด ผ่านการมีส่วนร่วมแบบอวัจนภาษา
เช่น การพยักหน้าเล็กน้อย และการสบตา ซึ่งเป็นเสมือนสัญญาณที่ทำให้ผู้พูดรู้ว่า ‘เรากำลังติดตามฟังและสนใจเขาอยู่’
ประการที่ 2: หลีกเลี่ยงการถอดความจากข้อความของผู้พูด เพราะนั่นมักนำไปสู่การตัดสิน ซึ่งจริงๆ แล้ว ผู้พูดต้องการแค่ให้คุณรับฟัง
ประการที่3: ขอให้ผู้พูดลงรายละเอียดมากขึ้น ซึ่งสิ่งนี้เป็นการแสดงถึงการมีส่วนร่วมในสิ่งที่พวกเขาพูด
2.”นับหนึ่งถึงสามก่อน แล้วค่อยตอบ”
“Better to trip with the feet than the tongue.” —Zeno
สะดุดด้วยเท้าดีกว่าลิ้น
Epictetus ได้แบ่งขั้วการควบคุมออกเป็น 2 ด้าน
ด้านแรกคือ สิ่งที่อยู่ในการควบคุมของเรา – เป็นสิ่งที่เกิดจากการกระทำของเราเอง เช่น ความคิดเห็น แรงจูงใจ ความปรารถนา รวมทั้งคำพูด
ด้านที่สองคือ สิ่งที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเรา – เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดจากการกระทำของเราเอง เช่น ชื่อเสียง สถานะทางสังคม และสภาพแวดล้อมที่เราเกิดมา
ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณพบว่าตัวเองอยู่ในสังคม หรือในการสนทนาที่จริงจัง อย่าลืมลดความเร็วลงก่อนที่คุณจะตอบกลับใครซักคน หรือหากเข้าสู่การสนทนานอกเรื่อง ให้นับ 1 – 3 ในใจก่อน การทำเช่นนี้ ก็เพื่อให้เวลาคุณได้ใช้พื้นที่ ‘ไตร่ตรอง’ ถึงสิ่งที่คุณกำลังจะพูด เพราะบ่อยครั้งที่เราพบว่า ตัวเองตอบกลับคำถามนั้นแทบจะทันทีโดยสัญชาตญาณ แต่คุณต้องยับยั้งแรงกระตุ้นนั้น และฝึกฝนการตระหนักรู้ในตนเองแบบสโตอิก
แล้วคุณจะพบว่า สิ่งที่คุณคิดเกี่ยวกับการพูดนั้น
ส่วนใหญ่ไม่ควรที่จะพูดออกไป
3.”ใช้ความเงียบเพื่อโต้กลับผู้อื่น”
บางทีสถานการณ์ที่พบบ่อย
ที่ทำให้เราสูญเสียความสามารถในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
ก็คือ “ตอนที่เราโต้เถียงกับผู้อื่น”
ในช่วงเวลาที่ตึงเครียด และเต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรง แน่นอนว่าเรามีความต้องการที่จะเอาชนะ หรือพิสูจน์ว่าคนอื่นคิดผิด ซึ่ง ณ ตอนนั้น เราได้สูญเสียการควบคุมตนเองไปแล้ว ชาวสโตอิกมักเรียกมันว่า “temporary insanity” หรือความวิกลจริตชั่วคราว เพราะเราสูญเสียทั้งความสามารถในการให้เหตุผล และความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
เมื่ออารมณ์ของเราเข้าครอบงำ
เมื่อมีคนท้าทายความคิดเห็นของเรา
หรือพูดบางสิ่งที่เราไม่ชอบ
เราจะรู้สึกเหมือนโดนรุกล้ำพื้นที่
และกระโจนออกไปทำบางสิ่ง
เพื่อปกป้องอาณาเขตของตน
ดังนั้น ในข้อนี้ ชาวสโตอิกได้สอนว่า
“คำตอบที่ทรงพลังยิ่งกว่าคือความเงียบเท่านั้น”
เมื่อเผชิญกับคนอารมณ์ฉุนเฉียว ให้คุณหลีกเลี่ยงความโกรธด้วยความนิ่งเงียบ ‘เหมือนมาทาดอร์ที่หลีกเลี่ยงวัวที่ดุร้าย’ และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม จงตอบสนองอย่างมีไหวพริบ พูดอย่างมีคารมคมคายต่อหน้าคนที่กำลังตะคอกใส่คุณ ยิ่งคุณตอบสนองด้วยความนิ่งสงบมากเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็จะยิ่งตระหนักถึงข้อผิดพลาดของตนมากเท่านั้น และมีโอกาสมากขึ้นที่พวกคุณทั้งคู่จะเดินออกจากสถานการณ์นี้ด้วยมิตรไมตรี
ดั่งสุภาษิตเยอรมันโบราณที่กล่าวว่า
“Die beste Antwort auf Wut ist Stille”
คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับความโกรธคือ ความเงียบ
4.”หยุดพูดคุยเรื่องไร้สาระ แต่จงเอาเวลานั้นไปทำสิ่งที่มีความหมาย”
“ความเงียบ ดีกว่าคำพูดที่สูญเปล่า”
เพราะสิ่งที่สำคัญไม่ใช่ปริมาณคำ แต่คือคุณภาพ
5.”ฝึกจินตนาการถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด และเผชิญหน้ากับมัน”
“Silence is a lesson learned
through life’s many sufferings”—Senecaความเงียบ เป็นบทเรียนที่ได้รับจากความทุกข์มากมายในชีวิต
ความยากลำบากในชีวิต ส่งผลกระทบต่อบุคคลนั้นเกี่ยวกับความเงียบใน 2 วิธีที่แตกต่างกัน
อย่างแรก คือ ความกลัวที่จะเปิดปากของตน เพราะกลัวว่าจะพูดผิด
หรืออย่างที่สอง คือ เลือกที่จะเงียบ เพื่อเป็นการประลองปัญญา
ตั้งแต่ปี 2013 มีงานวิจัยหลายชิ้นที่พยายามค้นหาว่า ความกลัวที่เลวร้ายที่สุดในสังคมคืออะไร? ซึ่งค้นพบว่า
“การพูดในที่สาธารณะ” และ “ความตาย” ยังคงอยู่ในอันดับต้นๆ อย่างต่อเนื่อง
ในบางปี การพูดในที่สาธารณะอยู่ในอันดับหนึ่ง ในขณะที่ความตายครองอันดับสอง
นั่นแสดงว่า
“เราอยู่ในสังคมที่ยอมตายดีกว่าจะต้องพูด”
แต่ข่าวดีคือ ชาวสโตอิกมีวิธีการที่ยอดเยี่ยมในการเอาชนะความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ นั่นคือ สิ่งที่เรียกว่า Premeditatio malorum มาจากภาษาลาตินที่แปลว่า “การไตร่ตรองล่วงหน้า” ถึงความชั่วร้าย และปัญหาที่อาจรออยู่ข้างหน้า
เป็นการฝึกจินตนาการ ถึงสิ่งที่อาจผิดพลาด หรือถูกพรากไปจากเราได้ ซึ่งมันช่วยให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิต เพราะไม่ใช่ทุกอย่างที่เราจะได้มาดั่งใจ หากเราสามารถจินตนาการถึงความกลัวที่เลวร้ายที่สุดของเรา และเมื่อมันเกิดขึ้นจริง เราก็มีโอกาสมากกว่าที่จะเอาชนะพวกมันได้
ลองนึกถึงสถานการณ์ที่คุณกลัว ณ ตอนนี้ ดู
คุณจะพบความปวดร้าวที่เกิดขึ้นชั่วขณะ
แน่นอนว่า “มันทั้งน่าอาย และเจ็บปวด”
แต่ในเวลาต่อมา คุณจะเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับมัน
จนท้ายที่สุด คุณสามารถก้าวออกจากประสบการณ์เหล่านั้นได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ และพัฒนากลายเป็นคุณในเวอร์ชั่นที่แข็งแกร่งขึ้นได้
อ้างอิงข้อมูลจาก
เว็บไซต์ : dailystoic.com