กาลครั้งหนึ่ง มีชาวประมงกำลังนั่งตกปลาได้ “ทีละตัว” นักธุรกิจเดินมาเจอ เลยถามว่า
“ทำไมคุณถึงไม่หาอุปกรณ์ที่จับมันได้ทีละเยอะๆ ล่ะ?”
ชาวประมงก็ถามกลับว่า
“แล้วทำไมผมต้องทำแบบนั้นหละ?”
นักธุรกิจก็บอกว่า
“ถ้าตกได้มากกว่านี้ คุณก็จะมีเงินมากขึ้นไง”
ชาวประมงก็ถามกลับว่า
“แล้วทำไมผมต้องมีเงินมากขึ้นหละ?”
นักธุรกิจก็บอกว่า
“ก็ถ้าคุณมีเงินมากขึ้น คุณสามารถเอาเงินไปซื้อเรือ แล้วออกหาปลาในทะเล ซึ่งสามารถจับปลาได้มากกว่านี้อีกหลายร้อยเท่า”
ชาวประมงก็ถามว่า
“แล้วผมจะเอาปลาเยอะแยะขนาดนั้นไปทำอะไร?”
นักธุรกิจก็ตอบว่า
“ถ้าคุณมีปลาเยอะแยะ คุณก็สามารถไปเปิดโรงงานผลิตภัณฑ์แปรรูป สร้างเป็นธุรกิจ และมีรายได้ให้มากขึ้นอีกไง”
ชาวประมงก็ถามอีกว่า
“แล้วผมจะเปิดโรงงานไปทำไม?”
นักธุรกิจก็บอกว่า
“ก็ถ้าคุณสร้างโรงงาน และทำกำไรได้ดี คุณก็สามารถขายโรงงานเข้าตลาดหลักทรัพย์ คราวนี้คุณก็จะกลายมาเป็นมหาเศรษฐี มีชีวิตสุขสบาย อยากทำอะไรก็ทำ มีเวลาให้กับครอบครัว ใช้ชีวิตแบบที่ต้องการ ใช้ชีวิตเรียบง่ายสบายๆ ได้ ‘นั่งตกปลา’ แบบที่คุณชอบนี่ไง”
ชาวประมงก็ตอบกลับมาว่า
“นี่มันก็ชีวิตผมที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่ใช่หรือไง?”
เรื่องนี้สะท้อนข้อคิดอะไรให้เรา?
ไม่แปลกที่พวกเราต้องการแสวงหา
หรือไขว่คว้า “ทรัพย์สินเงินทอง”
เพื่อทำให้ตัวเอง และคนที่เรารักมีความสุข
จนในหลายๆ ครั้ง เราอาจมองข้ามอะไรบางอย่าง
ที่สำคัญในชีวิตไป
เราเคยถามตัวเองหรือเปล่าว่า…
เราต้องการทรัพย์สินมากแค่ไหน? ถึงจะทำให้ชีวิตนี้มีความสุข เพราะความสุขในชีวิตไม่ได้มีด้านเดียว ยังมีความสัมพันธ์ ครอบครัว คนที่รัก เพื่อนฝูง หรือการมีสุขภาพดี
ดังนั้น หากวันนี้คุณยังใช้ชีวิตล่องลอยตามคนอื่น
ลองใช้เวลากลับมาทบทวน เพื่อตอบคำถามตัวเองดู
ว่าจริงๆ แล้ว ชีวิตนี้เราเกิดมาเพื่ออะไร?